การบวกจำนวนเต็มบวกและจำนวนเต็มลบ

วันนี้ semih จะพาคุณมาเรียนรู้เกี่ยวกับการบวกตัวเลขจำนวนเต็มบวกและจำนวนเต็มลบ การบวกเป็นการดำเนินการพื้นฐานของตัวเลขโดยนำตัวเลขมารวมกันเพื่อให้ได้รับค่าใหม่ อย่างที่เราทราบกันดีว่าการบวกจำนวนเต็มบวกสองจำนวนเข้าด้วยกันนั้นไม่ยากเลย เช่น

2 + 3 = 5
5+ 8 = 13

แต่ในระบบของตัวเลขนั้นไม่ได้มีเพียงจำนวนเต็มบวก แต่ยังมีจำนวนเต็มลบ และศูนย์

…, 5, 4, 3, 2, 1, 0, -1, -2, -3, -4, -5, …

ซึ่งการบวกตัวเลขจะมีกฏและวิธีที่แตกต่างกันออกไปขึ้นกับเครื่องหมายของตัวเลขที่นำมาบวกกัน ดังนั้นวันนี้ semih จะมาคุณมาเรียนรู้กับกฏการบวกทั้ง 4 ข้อกัน

  1. การบวกจำนวนเต็มบวก กับ จำนวนเต็มบวก
  2. การบวกจำนวนเต็มลบ กับ จำนวนเต็มลบ
  3. การบวกจำนวนเต็มบวก กับ จำนวนเต็มลบ
  4. การบวกจำนวนใดๆ ด้วยศูนย์

แต่ก่อนเริ่มมาดูส่วนประกอบของตัวเลขจำนวนเต็มกันก่อน ซึ่งจะประกอบไปด้วยเครื่องหมายและค่าสัมบูรณ์ดังนี้

{เครื่องหมาย}{ค่าสัมบูรณ์}

  • เครื่องหมาย คือสิ่งที่บอกว่าตัวเลขเป็นจำนวนเต็มบวก (+) หรือจำนวนเต็มลบ (-) ในกรณีของจำนวนเต็มบวกเรามักจะไม่เขียนเครื่องหมาย
  • ค่าสัมบูรณ์ คือผลต่างระหว่างจำนวนนั้นกับ 0 หรืออีกนัยหนึ่ง ค่าสัมบูรณ์ของจำนวนใด ๆ ได้จากการตัดเครื่องหมายลบทิ้ง

ยกตัวเช่น

-5 มีเครื่องหมายเป็นลบ ค่าสัมบูรณ์เป็น 5 และเป็นจำนวนเต็มลบ
3 มีเครื่องหมายเป็นบวก ค่าสัมบูรณ์เป็น 3 และเป็นจำนวนเต็มบวก
0 มีเครื่องหมายเป็นบวกหรือไม่มีก็ได้ และมีค่าสัมบูรณ์เป็น 0

ต่อไปเรามาเรียนรู้กฏการบวกในแต่ละข้อไปด้วยกันได้เลย

1. การบวกจำนวนเต็มบวก กับ จำนวนเต็มบวก

จำนวนเต็มบวก + จำนวนเต็มบวก = จำนวนเต็มบวก

การบวกจำนวนเต็มบวก กับ จำนวนเต็มบวกจะได้ผลลัพธ์เป็น จำนวนเต็ม บวกเสมอ นี่เป็นรูปแบบการบวกอย่างง่ายที่สุดที่เราใช้กันในชีวิตประจำวัน จำนวนเต็มบวกมักใช้บอกจำนวนสิ่งของที่สามารถนับได้ ยกตัวอย่างเช่น แอปเปิ้ล 5 ผล กับกล้วย 3 ผล เมื่อเรานำมันมานับรวมกันมันก็คือการบวกนั่นเอง

5 + 3 = 8

ดังนั้นการบวกจำนวนเต็มบวกก็คือการนำตัวเลขทั้งสองค่ามารวมกันซึ่งจะได้รับเป็นตัวเลขที่มากขึ้นนั่นเอง มาดูตัวอย่างเพิ่มเติมในการบวกตัวเลขที่มากขึ้น

1 + 2 = 3
3 + 3 = 6
9 + 5 = 14
12 + 18 = 30

ในกรณีที่ตัวเลขเป็นจำนวนไม่มากเราอาจสามารถบวกในใจได้ แต่ถ้าหากมันมีจำนวนมากเราสามารถใช้วิธีการบวกในแนวตั้งได้ มันเป็นวิธีการบวกพื้นฐานที่ช่วยให้เราหาคำตอบได้ไม่ว่าตัวเลขจะมีขนาดใหญ่แค่ไหน มาลองหาคำตอบของ 4782 + 1360 กัน

1ตัวทด
4582จำนวนแรก
+1360จำนวนที่สอง
6942ผลลัพธ์

การบวกในแนวตั้งจะเขียนตัวเลขโดยเรียงหลักให้ตรงกัน จากนั้นเริ่มบวกตัวเลขในแต่ละหลักเข้าด้วยกันโดยเริ่มจากหลักหน่วยและเขียนผลลัพธ์ไว้ด้านล่าง ในกรณที่ผลบวกมากกว่าหรือเท่ากับ 10 จะเขียนเลขด้านหลังเป็นผลลัพธ์และเลขด้านหน้าเป็นตัวทดในหลักถัดไป (เช่นในหลักสิบที่ 8 + 6 เท่ากับ 14) ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะบวกไปจนถึงหลักทางด้านซ้ายสุด ดังนั้น 4782 + 1360 = 6942

2. การบวกจำนวนเต็มลบ กับ จำนวนเต็มลบ

จำนวนเต็มลบ + จำนวนเต็มลบ = จำนวนเต็มลบ

การบวกจำนวนเต็มลบ กับ จำนวนเต็มลบจะได้ผลลัพธ์เป็น จำนวนเต็มลบ นี่หมายความว่าเมื่อเรามีจำนวนเต็มลบอยู่แล้ว การเพิ่มจำนวนเต็มลบเข้าไปอีกจะทำให้มันน้อยลงมากขึ้นนั่นเอง มาดูตัวอย่าง

(- 3) + (-2) = -5 นี่มีความหมายเช่นเดียวกับ
-(3 + 2) = -5

หลักการของการบวกจำนวนเต็มลบกับจำนวนเต็มลบ คือการนำค่าสัมบูรณ์ของมันมาบวกกันโดยไม่สนใจเครื่องหมาย เมื่อบวกเสร็จแล้วจึงนำคำตอบที่ได้มาเขียนในจำนวนเต็มลบ ดังนั้นเราสามารถใช้วิธีการบวกในแนวตั้งได้ในการคำนวณได้เช่นกัน มาลองหาคำตอบของ (-512) + (-132) ว่าจะได้เท่าไหร่

ตัวทด
512จำนวนแรก
+132จำนวนที่สอง
644ผลลัพธ์

ในตัวอย่างเรานำค่าสัมบูรณ์ 512 บวกกับ 132 และเมื่อการบวกเสร็จสิ้นผลลัพธ์ที่ได้คืิอ 644 เรานำมันมาเขียนในจำนวนเต็มลบนั่นคือคำตอบ ดังนั้น (-512) + (-132) = -644

ดังนั้นกฏของการบวกจำนวนเต็มบวก กับ จำนวนเต็มบวก และการบวกจำนวนเต็มลบ กับ จำนวนเต็มลบ สรุปได้ง่ายๆ คือ นำค่าสัมบูรณ์มาบวกกัน และเมื่อได้คำตอบเขียนมันกลับให้อยู่ในเครื่องหมายเดิม นั่นทำให้กฏข้อ 1 และ 2 สามารถรวมกันเป็นข้อเดียวได้คือ

จำนวนเต็ม X + จำนวนเต็ม X = จำนวนเต็ม X

โดยที่ X เป็น “บวก” หรือ “ลบ”

3. การบวกจำนวนเต็มบวก กับ จำนวนเต็มลบ

จำนวนเต็มบวก + จำนวนเต็มลบ = ผลต่างของค่าสัมบูรณ์และเครื่องหมายตามค่าที่มากกว่า

กฏต่อมา การบวกจำนวนเต็มบวก กับ จำนวนเต็มลบ หรือ การบวกจำนวนเต็มลบ กับ จำนวนเต็มบวก หรือในกรณีที่เครื่องหมายของจำนวนทั้งสองต่างกัน ในกรณีนี้จะใช้วิธีหาผลต่างของค่าสัมบูรณ์ของตัวเลขทั้งสอง และคำตอบที่ได้คือผลต่างในเครื่องหมายของจำนวนที่มีค่าสัมบูรณ์มากกว่า การหาผลต่างคือการนำตัวเลขที่มากกว่าตั้งและลบออกด้วยตัวเลขที่น้อยกว่า นี่เป็นตัวอย่าง

การบวกกันของเครื่องหมายที่ค่าสัมบูรณ์มากกว่าผลต่างของค่าสัมบูรณ์คำตอบในเครื่องหมายที่ค่าสัมบูรณ์มากกว่า
5 + (-2) = 3บวก5 – 2 = 33
8 + (-9) = -1ลบ (-)9 – 8 = 1-1
(-10) + 5 = -5ลบ (-)10 – 5 = 5-5
(-2) + 6 = 4บวก6 – 2 = 44

สังเกตุว่าในการหาผลต่างของค่าสัมบูรณ์ก็คือการนำตัวเลขทั้งสองมาลบกันนั่นเองโดยนำตัวที่มากกว่าตั้งเสมอ ดังนั้นหากตัวเลขที่ต้องการคำนวณเป็นจำนวนที่มาก เราสามารถใช้วิธีการลบในแนวตั้งได้ มาลองหาคำตอบของ 3244 + (-5198) กัน

จะเห็นว่าเครื่องหมายที่มีค่าสัมบูรณ์มากกว่าคือ ลบ (-) ต่อไปนำ 5198 – 3244 เพื่อหาผลต่างโดยใช้วิธีการลบในแนวตั้งได้ได้เลย

411การยืม
5198จำนวนแรก
3244จำนวนที่สอง
1954ผลลัพธ์

ผลลัพธ์จากการลบกันคือ 1954 และเครื่องหมายที่มีค่าสัมบูรณ์มากกว่าสำหรับการบวกในครั้งนี้คือ ลบ (-) ดังนั้น 3244 + (-5198) = -1954

ในกรณีที่ค่าค่าสัมบูรณ์ของจำนวนทั้งสองเท่ากัน ผลบวกที่ได้จะมีค่าเท่ากับ 0 เสมอ นั่นเป็นเพราะผลต่างของตัวเลขเป็น 0 หรือค่าที่ต่างเครืองหมายหักล้างกันหมดพอดีนั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น

5 + (-5) = 0
(-19) + 19 = 0
(-x) + x = 0

ดังนั้นถ้าเห็นการบวกในรูปแบบนี้ให้ตอบได้เลยว่าเท่ากับ 0 โดยที่ไม่ต้องไปคำนวณให้ยุ่งยากนอกจากคุณจะอยากทำมันเพื่อการฝึกฝน

4. การบวกจำนวนใดๆ ด้วยศูนย์

สำหรับกฎข้อสุดท้าย คือการบวกจำนวนใดๆ ด้วยศูนย์ ในระบบจำนวน ศูนย์ไม่เป็นทั้งจำนวนเต็มบวกและจำนวนเต็มลบ แต่เป็นค่าที่อยู่ตรงกลางระหว่างจำนวนเต็มทั้งสอง ศูนย์หมายถึงมีค่าเป็นศูนย์หรือการไม่มีค่า ดังนั้นเมื่อเราบวกศูนย์เข้ากับจำนวนใดๆ จะได้ผลลัพธ์เป็นจำนวนเดิม

จำนวนเต็มบวก + ศูนย์ = จำนวนเต็มบวก
จำนวนเต็มลบ + ศูนย์ = จำนวนเต็มลบ
ศูนย์ + ศูนย์ = ศูนย์

หรือ x + 0 = x โดยที่ x เป็นจำนวนใดๆ มาดูตัวอย่างการทำงานกับศูนย์กัน

semih มีเงิน 15 บาท เพื่อนของเขามีเงิน 0 บาท ทั้งสองคนมีเงินรวมกันเป็นเท่าไหร่ การหาผลรวมก็คือการนำเงินของทั้งสองมาบวกกันนั่นเอง

15 + 0 = 15 เช่นเดิม

จะเห็นว่า semih รวยกว่าเพื่อนของเขา 555

ในบทเรียนนี้ คุณได้เรียนรู้เกี่ยวกับการบวกจำนวนเต็มบวก จำนวนเต็มลบ และศูนย์ ซึ่งจะใช้การดำเนินการที่แตกต่างกันขึ้นกับว่าเครื่องหมายของตัวเลขที่บวกกันคืออะไร นี่เป็นสิ่งพื้นฐานที่ต้องทราบในการบวกตัวเลขเนื่องจากคุณจะต้องพบมันในวิชาคณิตศาสตร์ระดับที่สูงขึ้นไป และ semih หวังว่ามันจะเป็นประโยชน์กับคุณ แล้วเจอกันใหม่ 🙂